Thursday, December 13, 2012

กินอย่างมีความสุขอย่างไรไม่ให้เป็น "Hippo"

คงมีคนหลายคนคิดเช่นเดียวกับเบนว่า คนอ้วนส่วนใหญ่เป็นคนที่นิสัยดีและดูมีความสุข ถ้าเราเจอคนอ้วนที่อารมณ์เสียหรือดูบูดบึ้ง เราจะเร่ิมคิดว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นนิ ต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง จากประสบการณ์อันยาวนานของเบน เบนขอเล่าความรู้สึกของตัวเองว่า เมื่อได้กินอิ่ม และกินของอร่อยอยู่ตลอดเวลา รวมถึงไม่ต้องคำนึงถึงน้ำหนัก ว่าเดียวน้ำหนักขึ้น เดี๊ยวรูปร่างไม่มี มันมีความสุขอยู่ตลอดเวลา และไร้กังวลมาก (และนั้นเป็นบ่อเกิดให้เบนน้ำหนักเพิ่มขึ้นมา 8 กิโลกรัม) ตอนอยู่ที่อิตาลี่มันก็ไม่ใช้ปัญหาใหญ่โตเท่าไหร แต่ตอนกลับมาเมืองไทยนี่สิ มาคุๆ  เพราะคนไทยเราและคนในสังคมที่เบนอยู่ concern เรื่องน้ำหนักและรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก เบนเลยถูกตอกย้ำเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักและความอ้วนอยู่ตลอดเวลา ถึงขนาดที่ว่าถูกเณรวัดที่น้องชายเคยบวชเรียกว่า "พี่สาวอ้วนๆของพระซัน" แต่ก็ไม่ว่ากัน เป็นเรื่องตลกของชีวิตกันไป เบนก็เลยมานั่งคิดว่า เราจะกินอย่างมีความสุขอย่างไร โดยไม่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ฉันจะต้องผอม กินเยอะไม่ได้ เดี๊ยวดูไม่ดี เบนก็เลยมีวิธีการที่ลองมาหลายอย่างมาเล่าให้กันฟัง เพราะการได้กินอิ่มอร่อย เป็นต้นกำเนิดของความสุข
อย่างแรกเลยและสำคัญมากกกกก "การเสียดายของเหลือ เป็นบ่อเกิดของความอ้วน" เข้าใจว่าคนหิวโหยไม่มีกินมีอยู่ในโลกเยอะ แต่ถ้าคุณเสียดายของและพยายามกินให้หมด เงินที่คุณจะต้องเสียเพื่อไปลดน้ำหนัก กินยา เข้าสถานความงาม มันเยอะมาก คิดสะว่า ถ้าไม่กิน จะเอาเงินส่วนนี้ไปบริจาคละกัน หรือทางที่ดีกว่านั้น สั่งน้อยๆก่อน ถ้ากินเสร็จยังไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่ม
"ดื่มน้ำเยอะๆๆ" เรื่องดื่มน้ำนี่ใครๆก็บอกว่าสำคัญ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ทำ อันนี้มันช่วยได้จริงๆ จะไม่พูดถึงข้อดีของการดื่มน้ำทั้งหมด แต่จะพูดเฉพาะสิ่งที่ประสบณ์กับตัวเองเท่านั้น
1. ดื่มน้ำเยอะทำให้ผิวสวย
2. ดื่มน้ำเยอะทำให้อิ่ม ไม่เสียตัง ผอมด้วย การดื่มน้ำแก้วใหญ่หนึ่งแก้วก่อนการรับประทานอาหารแต่ละเมื้อ 30 นาที จะทำให้เรารับประทานอาหารน้อยลง เพราะว่าอ่ิมตั้งแต่ต้นแล้ว ทำให้เราไม่ตาใหญ่กว่าท้องตอนสั่งอาหาร และสั่งแต่พอดี
การแต่งตัวก็มีผลมากกับจำนวนอาหารที่เราจะกิน ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนเบนรึเปล่า ถ้าวันไหนแต่งตัวสวยก็จะกินน้อยไปโดยปริยาย หรืออีกวิธีคือใส่ชุดรัดๆที่ยืดไม่ได้ เช่นกางเกงยีน หรือว่าใส่เข็มขัด(ห้ามปลดตอนรู้สึกว่าเน้น ให้หยุดกินแทน(อันนี้เขียนบอกตัวเอง เพราะว่าเป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุด))
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการที่เบนใช้จริง และค่อนข้างได้ผล ไม่เหลือบ่ากว่าแรก ง่ายที่สุดละ ก็อยากเห็นคนมีความสุข เพราะออกนอกบ้านก็ไม่อยากเห็นคนหน้าบึ้ง การได้กินของอร่อยและอิ่มก็เป็นวีธีการที่ง่ายที่สุดละที่จะมีความสุข

ถ้าใครมีวิธีการอะไรที่คิดว่าใช้ได้ผล ก็ช่วย share กันด้วยนะคะ

Monday, November 19, 2012

Parma Ham


File:Emilia-Romagna in Italy.svgเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันและไขความกระจ่าง Ham คือ Prosciutto และ Prosciutto คือ Ham
Ham นั้นเป็นภาษาอังกฤษ ส่วน Prosciutto นั้นเป็นภาษาอิตาเลี่ยน
Parma Ham เค้าก็จะเรียกว่า Prosciutto di Parma หรือ แฮมของเมืองพาม่า
การที่จะสามารถเรียก Parma Ham ได้นั้น จะต้องผลิตจาก Emilia-Romagna regioun ในบริเวณเมือง Parma เท่านั้น
ที่อิตาลี่นี้ เค้าจะแบ่งออกเป็นแคว้น หรือ regioun แทนที่จะเป็นภาค ซึ่งมีด้วยกันทั้งสิ้น 20 regiouns
เมือง Parma นี้อยู่ในแคว้น Emilia-Romagna โดยแคว้นนี้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับอาหารมาก โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง เช่น Prosciutto นานาชนิด Salami มันหมูทอด(Ciccioli) Fresh pasta ที่ทำจากไข่แดงจำนวนมาก ในแคว้นนี้เลยมีไวน์ประจำแคว้นที่ชื่อว่า Lambrusco เป็นไวน์แดงแบบซ่า ความซ่าจะช่วยล้างมันในปากออกไปได้ แล้วก็ไม่ได้ไปไหน ลงไปในกระเพาะแล้วก็เข้าสู่กระแสเลือดไปเลย คอเลสตอรอลก็พุ่งกันไป

กลับมาที่เรื่องของ Parma Ham ส่ิงนี้ทำมาจากขาหลังของหมู เค้าจะนำขาทั้งขาไปหมักเกลือ แล้วก็นำไปตากแห้งอย่างน้อย 10-12 เดือน แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรจะมากกว่านั้น เพราะจะทำให้กลื่นหอมและรสชาติ delicate มากขึ้น (ใช้คำภาษาไทยว่า"ซับซ้อน"แล้วมันฟังดูทะเม่งทะเม่ง) แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบด้วย เพราะบางคนอาจจะชอบ Parma Ham เพราะว่ามันมีความอมหวานอยู่ แต่ว่าถ้ายิ่งทิ้งไว้นาน ความหวานก็จะยิ่งหายไป จะเปลี่ยนเป็นรสชาติที่เค็มขึ้นแทน
ขา Parma Ham และใช่นั้นคือ "รา"
อีกตัวหนึ่งที่อยากจะพูดถึงคือ Culatello ซึ่งเป็น Prosciutto อีกชนิดหนึ่ง คิดว่าแทบจะไม่มีใครรู้จักตัวนี้ เพราะว่ามีการผลิตในจำนวนที่กำจัดมาก การส่งออกเลยเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่รับประทานกันในประเทศก็ไม่พอแล้ว แฮมตัวนี้ก็เช่นเดียวกับ Parma Ham คือต้องผลิตในแคว้นนี้เท่านั้น ที่ต่างกันคือแฮมตัวนี้จะไม่มีกระดูก เค้าจะใช้เนื้อหมูส่วนที่ดีที่สุดจากหมูทั้งตัว คือก้อนเนื้อหลังกระดูกจากขาหลัง เพราะฉะนั้นหมูทั้งตัวจะได้ Culatello ก้อนเล็กๆแค่สองก้อนเท่านั้น ทำให้แฮมชนิดนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในแฮมที่มีราคาแพงที่สุดในอิตาลี่ วิธีการ preserve ก็ใกล้เคียงกับ Parma ham คือการหมักเกลือ แล้วก็ผูกเชือก แต่ที่นี้เค้าจะนำไปเก็บไว้ในห้องใต้ดินที่มีความชื้นสูง เพราะ Culatello ไม่มีหนังคลุมอยู่ภายนอกเหมือนขาพาม่า

ห้องใต้ดินสำหรับเก็บ Culatello
Culatello
Mix Prosciutto 
ถ้าใครสนใจที่จะไปดูการผลิตและลองชิม Parma Ham และ Culatello ที่เมือง Parma ไปเที่ยวกินกับเบนได้นะคะ ทริปแรกจะมีขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 สนใจดูรายละเอียดเพ่ิมเติมได้ที่ www.fovefoodtour.com

Sunday, November 11, 2012

Mozzarella Cheese ชีสสุดโปรด

เรามาทำความรู้จักกับชีสมอสสาเรลล่ากันหน่อยดีกว่า ถ้าจะให้ยกตัวอย่างแล้วทุกคนคงจะรู้จักกันหมดก็ต้องเป็น Pizza. Pizza โดนทั่วไปก็จะใส่ Mozzarella เป็นตัวสุดท้ายหลังจากใส่เครื่องทุกอย่างแล้ว ก่อนนำเข้าเตาอบ แล้วก็จะได้ออกมาเป็นชีสบนพิซซ่าที่ เหนียว ยืด และมัน

Mozzarella on Pizza
แต่ชีสตัวนี้ไม่ได้มีดีแค่นำมาใส่ pizza อย่างเดียว Mozzarella เป็นชีสแบบ semi-soft ซึ่งมีความชื้นสูง เป็นชีสที่เมื่อทำเสร็จแล้วควรจะกินให้เร็วที่สุด ไม่ควรเก็บไว้นาน ถ้าเป็นชีสสดและใหม่ จะสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 3-4 วัน แต่ถ้าเป็นแบบ low-moisture ก็จะสามารถเก็บได้เป็นเดือน โดยชีสตัวนี้ที่คนบ้านเราส่วนใหญ่ได้กินจะทำมาจากนมวัว แต่แท้ที่จริงแล้ว Mozzarella di Bufala หรือ มอสซาเรลล่าที่ทำจากนมควายนั้น เป็นตัวที่ทำให้ชีสตัวนี้มีชื่อเสียงขึ้นมา

Mozzarella di Bufala ถือกำเนิดขึ้นในประเทศอิตาลี่ในแคว้น Campania(แถว Naple ซึ่งเป็นต้นกำเนินของ Pizza ด้วย) โดยนำนมมาจากควายน้ำ (แปลตรงตัวจาก water baffalo)
Water Buffalo in Campania
Ciao!!!! There're a similarity here..
ความจริงแล้วที่ยุโรปไม่มีควายมาแต่เดิม สมัยก่อนมีการนำเข้ามาจากอินเดีย แล้วฟาร์มที่นี้จะมีการจ้างแขกไว้ทำงานเยอะมาก เพราะบอกว่า แขกสามารถเลี้ยงควายได้ดี ทำให้ควายสงบ แล้วก็ผู้หญิงก็จะสามารถเลี้ยงควายได้ดีกว่าผู้ชาย ซึ่งเรื่องของความเป็นอยู่ของควายก็ส่งผลต่อน้ำนมที่จะได้ออกมา นมควายนี้จะมีไขมันมากกว่านมวัวเกือบเท่าตัว แต่ยังน้อยกว่านมแกะเล็กน้อย (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพันธ์ด้วย) ทำให้ Mozzarella ที่ทำจากนมควายมีความมันมากกว่านมวัว โดยส่วนตัวแล้ว Mozzarella เป็นชีสโปรดอันดับต้นๆขอบงเบนเลยทีเดียว โดยเฉพาะ Mozzarella di buffala จาก Campania ชอบมากๆ 

วิธีการแยกว่าอันไหนนมวัวหรือว่านมควาย นอกจากจะดูที่ฉลากแล้ว ตอนกิน ถ้าเป็นนมควาย เว็บแรกที่ใส่เข้าไปในปากมันจะมีรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อยตรงส่วนเปลือก แต่นมวัวจะไม่มีความเปรี้ยวแบบนี้ แล้วนมควายก็จะมันกว่า มอสซ่าเรลล่าที่ดีเนื้อสัมผัสควรจะมีความเป็น elastic ไม่ใช้พลาสติก
Elastic คือ มีความเหนียวและยืดหยุ่น
Plastic คือ มีความเหนีียวอย่างเดียวจะไม่ยืดหยุ่น

Mozzarella ก็เหมือนชีสทั่วไป คือสามารถกินได้เลย  แต่ที่คนก็นิยมกินกันมากคือ กินคู่กับมะเขือเทศ เพราะมันเข้ากันได้อย่างลงตัวจริงๆ แค่หั่นมะเขือเทศ หั่นชีส โรยน้ำมันมะกอกนิด เกลืออีกหน่อย ก็เป็นอาหารจานอร่อยแล้ว (บางคนอาจจะเติม balsamic ด้วย ก็ตามแต่ชอบ)
Mozzarella นั้นส่วนใหญ่แล้วจะปั่นเป็นลูกกลมๆ มีขนาดเล็กกว่าลูกปิงปองไปจนถึงใหญ่ 1 kg แต่รสชาติก็ไม่ได้ต่างกัน ลูกเล็กอาจจะมีความเค็มกว่านิดหน่อย เนื่องจากมีผิวสัมผัสกับน้ำเกลือมากกว่า (การเก็บรักษาชีสชนิดนี้ต้องเก็บในน้ำเกลือ หรือ น้ำที่เหลือจากนมที่นำไปทำชีสแล้ว(หางนม)เรียกว่า whey
บางทีก็จะมีการทักเป็นเปีย หรือน่าตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยก็นำไปรมควัน
Smoked, Big and Small Mozzarella
Mozzarella with prosciutto(Ham)
Mozzarella roll with Salami
Smoked Mozzarella
แต่ที่เมืองไทยส่วนใหญ่ที่เราได้กินกันก็จะเป็นแบบ low-moisture ที่เอาไปขูดใส่หน้าพิซซ่า แบบที่เห็นอยู่ด้านบนจะหาทานได้ยาก หรือถ้ามีคุณภาพก็ธรรมดามาก ราคาของชีสชนิดนี้โดยเฉพาะที่ทำจากนมควายค่อนข้างสูง ลูกเท่ากำปั้น ราคาประมาณ 200-400 บาท แต่ถ้าผลิตแบบอุตสาหกรรม ราคาก็จะย่อมเยากว่า แต่รสชาติก็จะสู้แบบที่ชาวบ้านทำเองไม่ได้ ซึ่งการส่งออกนอกอิตาลี่ก็จะยากหน่อย เพราะสามารถเก็บได้ไม่เกินอาทิตย์ ที่มาถึงบ้านเราส่วนใหญ่ก็เลยเป็นคุณภาพแบบอุตสาหกรรม แต่ก็พอจะหาทานแบบอร่อยๆได้ในร้านอิตาเลี่ยนบางร้าน

ฝากความคิดเห็น ติ ชม ผ่าน comment 
ถ้าอยากให้เบนเขียนเรื่องอาหารชนิดไหน หรืออะไรเป็นพิเศษก็บอกกันได้นะคะ
ฝากติดตาม และบอกต่อกันด้วยนะคะ เจอกันใหม่เร็วๆนี้ :)

Wednesday, November 7, 2012

Pasta

เส้น Pasta หรือที่หลายคนเรียกว่า Spaghetti ยังมีคนที่เข้าใจผิดอยู่เป็นจำนวนมากเรียก Spaghetti ว่าเป็น Pasta แต่ถ้าจะให้เปรียบขอยกตัวอย่างเป็นผลไม้แทนละกัน ผลไม้คือ Pasta ส่วน Spaghetti นั้นเปรียบเหมือนกล้วยละกัน กล้วยเป็นผลไม้อย่างหนึ่ง ซึ่ง Spaghetti ก็เป็นเส้นอย่างนึงของ Pasta เหมือนกัน เราคงจะเรียก Spaghetti แทนเส้น Pasta ทั้งหมดคงจะไม่ได้ แต่มันเป็นเส้นที่คนไทยเราคุ้นเคยที่สุด Spaghetti เป็นเส้น Pasta ยาว เล็ก หน้าตัดกลม 
ต่อไปสำหรับผู้ที่เข้าใจผิดหวังว่าจะเรียกเส้นจำพวกนี้ว่า Pasta แทนนะค่ะ

เรามาว่าเข้าเรื่องของ Pasta จริงๆกันเลยดีกว่า Pasta เป็นเส้นในอาหารอิตาเลี่ยน มีรูปแบบแตกต่างกันมากมาย 
ขอเริ่มด้วยแบบวิชาการก่อนละกัน เราสามารถแยกเส้น Pasta ออกได้เป็นสองชนิดใหญ่ๆ คือ

          1. 1. Pasta Secca หรือว่า Dry Pasta เป็นเส้นชนิดแห้งที่ผลิตออกมาจากโรงงาน แป้งที่ใช้มาจาก เมล็ด Durum ซึ่งเป็นข้าวแบบแข็งชนิดหนึ่ง เส้นชนิดนี้จะไม่มีส่วนผสมของไข่ ส่วนผสมหลักๆก็จะมีแค่ แป้งกับน้ำ และอื่นๆอีกนิดหน่อย เส้นชนิดนี้คนไทยจะคุ้นเคยกันดี เพราะหาซื้อได้ตาม supermarketทั่วไป ในรูปแบบของห่อพลาสติกและกล่องกระดาษ เส้นชนิดนี้สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปีๆ
2. Pasta Fresca หรือ Fresh Pasta (ชื่อแรกเป็นภาษาอิตาเลี่ยน) เส้นชนิดนี้ก็อย่างที่บอกคือเป็นเส้นสด ส่วนใหญ่จะทำกันแบบ home-made แต่ก็มีบางโรงงานที่ทำเส้นแบบนี้ออกมากเหมือนกัน แต่เส้นนี้จะไม่สามารถเก็บได้นาน ซื้อมาหรือทำเองก็ต้องรีบกินให้หมด เส้นผลิตนี้มีส่วนผสมของไข่ (บางที่เค้าใช้แต่ไข่แดง บางที่ก็ใช้ไข่ทั้งฟอง ลองคิดดูนะ เส้นที่ใช้แต่ไข่แดงคงอร่อยน่าดู คอเรสเตอรอลจุกกกก และที่ที่ทำเส้นประเภทนี้ได้อร่อยมาก คือ เมือง Bologna) ส่วนแป้งที่ใช้จะมาจากเมล็ด wheat ซึ่งมีความอ่อนนุ่มมากกว่าเมล็ด Durum


ยังคงขอต่อขยายความเกี่ยวกับเส้นที่เราคุ้นเคยกัน คือ Pasta Secca ไม่ใช้ว่าผลิตจากโรงงานแล้วมันจะมีคุณภาพด้อยกว่าผลิตแบบ home made แต่เราต้องเลือกให้ดีเท่านั้นเอง เส้นนี้ยังแยกย้อยออกไปอีกเป็น 
  • Pasta Lunga หรือ Long Pasta เป็นเส้นที่มีความยาวเกิน 10 cm. เส้นจำพวกนี้เช่น Spahetti, Spaghettini และ Tagliatelle
  • Pasta Corta หรือ Short Pasta เช่น Penne และ Fusilli


สีของเส้นที่แตกต่างกันบางตัวก็เป็นเพราะว่าใส่ไข่ ถ้าใส่ไข่ก็จะมีสีที่เหลืองกว่า แต่ที่เราเห็นว่าเป็นสีเขียวสีดำสีแดงพวกนั้นเพราะเค้าใส่ส่วนผสมอื่นๆเพ่ิมเติม เส้นสีดำนั้นมาจากสีของหมึกของปลาหมึก(มันกินได้), เส้นสีแดงอ่อนนั้นทำจากสีของมะเขือเทศ, สีชมพูมาจาก Beetroot, สีเหลืองทองมาจาก Saffron(ซึ่งอันนี้ทเบนก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน) สีเขียวมากจากผักโขม, สีส้มจากฝักทอง

เส้นแต่ละประเภทที่ทำออกมาแตกต่างกัน ก็ใช้นำไปทำจานที่แตกต่างกันด้วย


  • Pasta จำพวกมีไส้ เช่น ravioli, cappelletti หรือ tortellini (ส่วนมากเส้นพวกนี้จะเส้นสด) เป็นเส้นที่มีรสชาติในตัวเองอยู่แล้ว เพราะสอดไส้ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อ ฝักทอง ผักโขม ชีส ฯลฯ ซอสที่ใช้จึงควรเป็นซอสแบบเบาๆรสชาติไม่จัด เช่น ชอสมะเขือเทศ หรือแค่ผัดเนยแล้วปรุงรสนิดหน่อย ส่วนที่เป็น cream sauce นั้นจะเป็นรูปแบบการกินของทางตอนเหนือของอิตาลี่ ซึ่งบ้านเรารับมาทุกอย่าง



    • Heavy pasta fresca เส้นพาสต้าสดแบบเส้นใหญ่หรือหนา เหมาะกับซอสที่เข้มข้น เช่น ซอสเห็ด ชีส ครีม แฮม หรือจำพวกอาหารทะเล เส้นจำพวกนี้ก็อย่างเช่น tagliatelle


    • เส้นพาสต้าแห้งทั้งหลายนั้นสามารถนำไปปรุงได้หลากหลายกว่ามาก(มีข้อดีกว่าpastaสดแล้วเห็นไหม) เพราะตัวเส้นเองไม่ได้มีรสชาติที่โดดเด่น กฎง่ายๆของเส้นชนิดนี้คือ ยิ่งเส้นนั้นมี space ภายในเส้นใหญ่เท่าไหรก็จะยิ่งติดซอสได้มากเท่านั้น โดยส่วนตัวเบนแล้ว ชอบกินเส้นยาวที่มีขนาดเล็ก อย่างเช่น angle hair เพราะรู้สึกว่าเวลากิน เส้นมันติดซอสมามาก แล้วรสชาติของแป้งก็น้อย เนื่องจากเป็นคนชอบกินซอส เส้นของไทยก็เหมือนกัน ชอบกินเส้นหมี่สำหรับก๋วยเตี๊ยวน้ำ เส้นเล็กสำหรับแห้ง แต่มันก็แล้วแต่ร้านและประเภทของก๋วยเตี่ยวนั้นอีกแหละ
    เรื่องของPasta ที่กล่าวมาเป็นแค่พอสังเขป ถ้าใครอยากได้ความรู้เพ่ิมเติมลองเข้าไปอ่านกันดูต่อที่นี้นะคะhttp://en.wikipedia.org/wiki/Pasta

    Saisays "FAV" Pasta Dishes
    • ร้าน Sonie' ชั้น2 Javeanue ทองหล่อ มี Pasta สองจานที่ทรายชอบ คือ เส้น Angle Hair กับซอสเห็นTruffle พร้อมกุ้งและไข่ปลาsalmon อีกจานที่อร่อยรู้สึกว่าจะเป็น spaghetti ครีม Salmon อะไรประมาณนั้น
    • ร้าน Chef ถนอม แถวพระรามสี่ : Spaghetti แกะ รสจัดพิเศษ ต้องขอเสริมว่า Tiramisu ที่นี้อร่อยมาก
    • Pan Pan ซอยสุขุมวิท33 เป็นร้านประจำของครอบครัว ไปทุกทีจะต้องสั่ง Fettuccini cream sauce เห็ดแฮม

    Thursday, October 25, 2012

    ลิ้นขั้นเทพ vs ลิ้นจระเข้

    Super Taster

    ลิ้นขั้นเทพหรือเรียกอีกอย่างว่าพวก super taster เป็นคนที่ลิ้นสามารถรับรสได้ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ฟังแล้วเหมือนใกล้จะเป็น super hero ได้ยังไงอย่างงั้น แล้วใครละมีลิ้นเทพ??

    ดูกันได้ง่ายๆเลย อย่างแรกคือ เป็นคนที่ชอบทานรสเค็ม ( ที่กรุงเทพ มีประชากรญี่ปุ่นที่มาทำงานอยู่พอสมควร แต่เราแทบจะไม่เคยเห็นพวกญี่ปุ่นกินข้าวร้านอาหารอื่นเลยนอกจากร้านญี่ปุ่นใช่ไหมคะ ถ้าร้านอาหารที่ไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่น แต่มีญี่ปุ่นไปกินเนี้ย เป็นร้านที่น่าสนใจมาก และเบนคนหนึ่งละ จะตามไปกินด้วยคน เพราะว่าเชื่อใจ taste ของคนญี่ปุ่น เรากลับมามองอาหารญี่ปุ่นกัน อาหารญี่ปุ่นเค็มๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นราเมน (บางชามเค็มจนชดน้ำซุปไม่ไหว) ขนมอบกรอบโซยุ ที่มีทุกโต๊ะในร้าน และบราบราบรา นั้นไง มั่นใจ นอกจากพวกญี่ปุ่นจะฉลาดแล้ว ยังเป็น super taster อีกต่างหาก )

    โดยส่วนใหญ่ คนเอเชีย ก็จะมีต่อมรับรสที่ดีกว่าฝรั่ง โดยเฉพาะผู้หญิง ก็จะดีกว่าผู้ชาย ( ตอนไปเรียนปริญญาโทเกี่ยวกับอาหารที่อิตาลี่ ใน class มีเพื่อนที่รักการกินจากทั่วโลก 26 คน 14 เชื้อชาติ เวลาจะถามว่าอะไรอร่อยหรือไม่อร่อย ถามฝรั่งอะไรก็อร่อยไปหมด สาวไต้หวัน กับญี่ปุ่นเนี้ยแหละเชื่อถือได้มากสุด ) อย่างสุดท้ายที่สามารถทดสอบได้ง่ายๆ คือพวกที่ไม่ชอบรสขม ไม่กินเหล้า ไม่กินกาแฟ อะไรทำนองนี้ แต่ก็ได้ยินมาว่ายิ่งแก่ยิ่งชอบกินขม มันก็คงจะเป็นธรรมดาที่ทุกอย่างจะเสื่อมไปตามกาลเวลา

    อีกอย่างคือ ผุ้มีลิ้นขั้นเทพจะไวต่อความเผ็ดมาก เลยจะทำให้เป็นคนกินเผ็ดไม่ค่อยได้ แต่ข้อนี้คงจะตัดสินคนไทยได้ยากหน่อย เพราะว่าคนไทยเราได้ฝึกวิชายุทรมาแต่เด็ก จากส้มตำปลาล้า ต้มยำ แกงนานาชนิด ทำให้ลิ้นของเราสามารถด้านทานความเผ็ดได้ดี

    สุดท้ายขอแนะนำวิธีการอีกอย่างที่สามารถทดสอบเองได้ที่บ้านนะคะ คือใส่สีผสมอาหารสีฟ้า ไปในอาหารอะไรก็ได้ - กิน - แล้วทำให้ลิ้นเป็นสีฟ้า แลบลิ้นออกมานั่งนับตุ่มเลยคะ ทำกันทั้งบ้าน มานั่งเทียบกัน เล็ปกันจนลิ้นแห้ง น้ำลายไหล หรือยังไงก็ถ่ายรูปลิ้นแล้วมานั่งนับบนจอก็ได้คะ คิดเป็นต่อตารางเซนติเมตร

    ** ปล. บุหรี่ทำลายต่อมรับรูปรส ทำให้คุณสามารถรับรู้รสได้น้อยลงเรื่อยๆ

    Friday, October 19, 2012

    ดูกันขำๆก่อนออกพรรษา

    ลองดูว่าทำกันได้ไหม เที่ยวแบบไม่กินเหล้า งดเหล้าเข้าพรรษา

    Wednesday, October 17, 2012

    Pizza

    Pizza มีต้นกำเนิดมากจากประเทศอิตาลี่ ในเมือง Napoli (หรือเรียกชื่อภาษาอังกฤษว่า Napal) เมืองนี้เป็นเมืองติดทะเล และมาเฟียยังคงมีอยู่ ก็ถ้าจะไปเที่ยวเมืองนี้ก็ขอให้ระวังตัวกันหน่อย ไม่ว่าจะเป็นโจรขโมย หรือแม้กระทั้งรถ คิดว่าเมืองไทยขับรถกันบ้าคลั่งแล้วหรอคะ มาเจอที่นี้เลย เบนเกือบเป็นศพข้างถนนหลายรอบแล้ว
    Pizza ที่นี้เป็น style แบบบางนุ่ม เวลากินเค้าจะพับ แล้วก็ใช้มือยกขึ้นมากัด ง่ายๆอย่างงั้นเลย ส่วนแบบที่แป้งบางแล้วกรอบเนี้ยจะเป็น style ของโรม แต่คนที่นี้เค้าบอกว่าของเค้าอร่อยที่สุด ยังไงก็ไม่มีใครทำเหมือน (ก็แล้วแต่คนจะชอบ นานาจิตตัง) และเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเรื่องของที่ตั้ง เพราะว่าเป็นเมืองติดทะเล เบนคิดว่าไอเกลือมีผลต่อรสชาติของอาหารไม่มากก็น้อย ลองคิดดูกันนะคะ กินไก่ย่างริมทะเลมันอร่อยกว่ากินไก่ย่างในเมืองขนาดไหน แต่ก็ละเลยเรื่องวัตถุดิบไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแป้ง ชีส หรือว่าเกลือ โดยเฉพาะชีส แคว้นที่เมือง Napoli ตั้งอยู่ คือแคว้น Campania ซึ่งเป็นแหล่งผลิต Mozzarella di Buffala (จะมาเล่าเรื่องชีสตัวนี้ให้ฟังกันต่อไป ซึ่งชีสตัวนี้เป็นชีสตัวโปรดของเบน) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็ว่าได้

    file://localhost/Volumes/Time%20Machine%20Backups/photo/Napoli/IMG_0211.JPG
    มาว่ากันเรื่องหน้า หน้าแบบ original ก็ต้องเป็น Magarita
    ซึ่งก็มีแค่ ซอสมะเขือเทศ ชีสมอสสาเรลล่า และน้ำมันมะกอก ตบด้วยใบโหระพานิด เท่่านั้นก็เรียบร้อย แต่หน้าโปรดของเบนคือ Pizza Diavola คือมีเพิ่ม Salami แบบเผ็ดเข้าไปด้วย กินแล้วเค็มๆมันๆ ไม่จืดซืดน่าเบื่อ และพิซซ่านี่ก็เป็นตัวดีเลยที่ทำให้น้ำหนักขึ้น เพราะว่าอยู่ที่โน้น ไม่มีการแบ่งกัน ไปร้าน Pizzaria ก็ต่างคนต่างสั่ง กินกันคนละฉาด อยู่เมืองไทย กินแค่ 3 ชิ้นก็อิ่มแล้ว ไปอยู่ที่โน้นต้องกินคนเดียว 8 ชิ้น บางทีก็กิน 10 ถึงกับกลิ้งกลับเมืองไทยได้เลยทีเดียว

    เรื่องเตาก็มีความสำคัญมากเหมือนกัน แต่ว่าเบนยังไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเตาไฟฟ้ากับเตาแบบตั้งเดิมได้จากการกิน แต่ถ้าเห็นเตาแบบตั้งเดิมก็เดินเข้าร้านละ เพราะดูน่าเชื่อถือ ความจริงแล้วก็คงจะสำคัญจริงๆ เพราะเตาฝืนมีถ่านอยู่ข้างใน ได้กลิ่นของไม้ที่เผา เหมือนรมควันนิดๆ แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว ถ้าใครมีร้าน Pizza แบบอิตาเลี่ยนที่เมืองไทยจะแนะนำก็มาบอกต่อกันบ้างนะคะ




    My life - My Fove - My passion

    เร่ิมต้น blog เกี่ยวกับอาหารอย่างเป็นทางการ ก็จะขอแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จักก่อนละกันนะคะ เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ เป็นคนที่สะกดคำไม่เก่ง ไม่ว่าจะภาษาอะไรก็แล้วแต่ grammar เหมือนเป็นเรื่องลึกลับที่สมองของเบนไม่สามารถเข้าใจได้มาตั้งแต่เด็ก ก็ขอโทษไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับภาษาที่จะเกิดความวิบัติต่อจากนี้ไป

    หลังจากที่จบจากโรงเรียนมาแตร์ที่อยู่มาเป็นเวลา 13 ปี ด้วยเกรดที่ค่อนข้างดี เนื่องจากความกรุณาของคุณครูทั้งหลาย ก็คิดว่าความฝันสูงสุดของตัวเองคือการได้เข้าไปเรียนที่ Industrial Design Chula แล้วก็เข้าได้ตามที่ฝันจริงๆ (มองย้อนกลับไปยังงงๆว่าเข้าได้อย่างไร) แต่พอเรียนไปได้เกือบปี ก็รู้แล้วว่าสิ่งนี้ คงจะไม่ได้สิ่งที่จะทำให้เบนมีความสุขในการที่จะต้องทำงานแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่ด้วยความที่พ่อแม่อยากให้เรียนให้จบ ก็จบออกมาได้จริงๆ ก่อนจะจบก็เร่ิมคิดแล้วว่า ชีวิตนี้เราอยากจะทำอะไรไปตลอดชีวิต อะไรทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากที่สุด คำตอบหาได้ไม่อยากเลย คือ กิน คะ ไม่ว่าจะตอนไหนเมื่อไหร เรื่องกินเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดประจำวันคะ การได้กินของอร่อยเหมือนเป็นความสุขที่สุดของชีวิต ก็เลยตามหาที่เรียนที่สอนเกี่ยวกับอาหาร แต่ไม่ใช้ทำอาหารนะคะ แค่เรียนเกี่ยวกับอาหาร ก็มาเจอที่เรียนที่ Italy เป็นมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า University of Gastronomic Science ซึ่งเป็นมหาลัยที่ องค์กร Slow Food เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น

    http://www.slowfood.com/international/1/about-us?-session=query_session:7C78403B18d501BFCBrn6920B5AA

    00-facciata-pollenzo
    ก็ดั้งต้นไปเรียนที่ Italy ในเมือง Bra (ซึ่งไม่มีใครรู้จักเลย) 

    เรียน Master degree ใน course ชื่อว่า Food Cultures and Communications ว่าง่ายๆคือไปเรียนกินและชิมอาหาร รวมถึงเดินทางไปดูการผลิตอาหารในแหล่งของมันเลยจริงๆ

    เบนก็จะเอาประสบณ์การที่ได้ไปเรียน ไปตระเวนกิน และท่องเที่ยวมาเล่า มาโม้ให้กันฟังไปนะคะ